วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กีฬา

กีฬา "ว่ายน้ำ"

ประวัติความเป็นมาของกีฬาว่ายน้ำ

ความเป็นมาของการว่ายน้ำ


รวมกฎ กติกา และพื้นฐานการเล่น ว่ายน้ำของ บริษัทสกายบุ๊กส์ ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการเล่นกีฬาว่ายน้ำไว้ดังนี้ [1] ว่ายน้ำเป็นกีฬาที่รู้จักมาแต่สมัยโบราณการว่ายน้ำยุคก่อนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่ตั้งถิ่นฐานตามชายฝั่งทะเล แม่น้ำที่ราบลุ่มต่างๆ เช่นพวกแอสซีเรีย อียิปต์ กรีก และโรมันได้มีการฝึกว่ายน้ำแล้ว โดยประวัติศาสตร์ระบุว่า การว่ายน้ำในสมัยก่อนคริสตกาลเป็นการเรียนรู้เพื่อหลบหลีกภัยอันตรายต่างๆ เท่านั้น เช่น ในสงครามยุคเรือใบได้กล่าวถึงทหารที่หลบหนีข้าศึกโดยการว่ายน้ำขึ้นฝั่งด้วยท่าว่ายน้ำด้วยท่าอิสระเรียกว่า “ฟรีสไตล์” (Free style) คือไม่มีท่าทางแน่นอน แต่เพื่อการพยุงตัวอยู่ในน้ำให้ได้นานที่สุดนั้นเป็นการเรียนรู้เพื่อหลบหลีกเอาตัวรอดจากภัยอันตรายต่างๆ เช่นจากเรือล่ม หรืออับปางในทะเล การว่ายน้ำสมัยก่อนนั้น เป็นการว่ายท่าอิสระไม่จำกัดแบบ (Free style) จะว่ายน้ำท่าใดก็ได้ตามถนัดให้ลอยอยู่ในน้ำได้นานๆ และพาตัวเองไปข้างหน้าได้ มนุษย์เรียนรู้การว่ายน้ำโดยวิธีธรรมชาติ แบบการว่ายน้ำนั้นไม่มีอยู่ในระบบจะว่ายท่ากบก็ไม่ใช่ หรือจะเป็นการกระทุ่มไปข้างๆ ก็ไม่เชิง เพียงพยุงตัวเองให้ลอยน้ำแล้วเท้าทั้งสองถีบน้ำขึ้นลง มือทั้งสองก็พุ้ยน้ำคล้ายสุนัขตกน้ำ หลักฐานอื่นๆ เกี่ยวกับการว่ายน้ำ คือภาพแกะสลักที่ค้นพบในเมืองปอมเปอี เป็นภาพการว่ายน้ำแบบกรรเชียงข้างซึ่งแสดงให้เห็นว่ามนุษย์สามารถว่ายน้ำได้ ตั้งแต่ อดีตกาล ส่วนมากจะเป็นการว่ายน้ำโดยการถีบเท้าขึ้นลงใต้น้ำ มือทั้งสองพุ้ยน้ำออกไปข้างๆ ต่อมานาย Raph Thomas เป็นผู้ให้ชื่อการว่ายแบบนี้ว่า “Human stroke” หรือเรียกอีกอย่างว่า “Dog paddle” ซึ่งเป็นการว่ายน้ำแบบสุนัขตกน้ำ

ว่ายน้ำนับว่าเป็นกิจกรรม ที่นิยมขึ้นหน้าขึ้นตาระหว่างชนชั้นต่างๆ ของชาวกรีกเรียกว่าเป็นอุปนิสัยประจำชาติ ต่อมากรีกได้บรรจุกีฬาว่ายน้ำไว้ในระดับชาติ เช่นเดียวกับกีฬาประเภทอื่นๆ พฤติกรรมทำนองนี้ชาวพื้นเมืองของเม็กซิกันก็นิยมว่ายน้ำกันมาก ได้นำวิธีการแบบนี้ไปเผยแพร่ตามหัวเมืองชายทะเล มีการจัดการแข่งขันระหว่าง พระในสำนักวาติกันโดยขนานนาม ผู้ชนะการแข่งขันในครั้งนั้นว่า “เทพเจ้าแห่งนาวี” เชื่อกันว่า การแข่งขันว่ายน้ำครั้งแรกได้จัดการแข่งขันที่(Woolwich Baths) ใกล้กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษเมื่อ ปี ค.ศ.1873 การแข่งขันในครั้งนี้จัดเพียงแบบเดียวคือ ฟรีสไตล์ผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนจะว่ายแบบใดก็ได้ให้เร็วที่สุดการแข่งขันครั้งนี้ J.Trudgen ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม โดยที่เขาว่ายน้ำแบบเดียวกับพวกอินเดียแดงในอเมริกาใต้ เนื่องจากเขาได้เห็นพวกอินเดียแดงว่ายน้ำแบบนั้นจึงได้นำมาว่ายบ้าง จึงได้ซื่อว่าเป็นผู้นำเผยแพร่ วิธีการว่ายน้ำแบบที่ยกแขนขึ้นไปเหนือน้ำในการจ้วงพุ้ยน้ำ หลังจากได้รับชัยชนะมาแล้ว ชาวยุโรปมีความสนใจกันมาก และหัดว่ายตามแบบโดยใช้ชื่อว่า Indian Stroke, Trudgen Stroke หรือ Trudgen Crawl ประชาชนทั่วโลกเริ่มสนใจและกระตือรือร้น ที่จะว่ายน้ำมากขึ้นเมื่อเรือเอก Matthew Webb ได้ว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษจากเมือง Dover ถึง Calais เมื่อวันที่ 24-25 สิงหาคม ค.ศ.1875 โดยใช้เวลาทั้งสิ้น 21 ชั่วโมง 45 นาที ข่าวความสำเร็จในครั้งนี้ได้แพร่กระจายยังความตื่นเต้นไปทั่วโลก เรือเอก Webb ได้ว่ายน้ำข้ามช่องแคบด้วยแบบกบ (Breast Stroke) ต่อมาเด็กสาวชาวอเมริกันชื่อ Gertrude Ederle ได้ว่ายน้ำข้ามช่องแคบอังกฤษอีก เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1926 โดยทำเวลาได้ 14 ชั่วโมง 31 นาที โดยว่ายแบบ Crawl Stroke ซึ่งเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา 50 ปี ว่ายน้ำได้พัฒนาความก้าวหน้ามากขึ้นในเรื่องความเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาว Lancashire และ Australia ได้ดัดแปลงวิธีการว่ายน้ำแบบ Trudgen Stroke เพื่อให้เกิดความเร็วยิ่งขึ้น เช่น การใช้ขาเตะสลับขึ้นลงแบบกรรไกร โดยกางขาให้มากขึ้นไม่งอเข่ามากเช่นแต่ก่อน ซึ่งผู้นำวิธีการว่ายน้ำแบบนี้ไปใช้ และได้ผลก็คือ Taylor ผู้ครองสถิติโลกเมื่อปี ค.ศ.1926-1908 Bare Kierany ชาวออสเตรเลีย และBattersby ชาวอังกฤษต่อมาการว่ายน้ำแบบ Crawl Stroke ก็ได้เริ่มขึ้นโดย Alex Wickham เป็นชาวเกาะโซโลมอน อาศัยอยู่ที่ซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย เป็นผู้ครองสถิติโลกในการว่ายน้ำแบบฟรีสไตล์ อยู่เป็นเวลานาน ในระยะทาง 50 หลา เขาได้ว่ายน้ำแบบ Crawl Stroke และ Alex Wickham ได้กล่าวว่าเด็กชาวเกาะโซโลมอนทุกคนว่ายน้ำในแบบนี้ทั้งนั้น หลังจากนั้นต่อมาการว่ายน้ำแบบฟรีสไตล์ก็ได้เป็นที่นิยมแพร่หลายฝึกหัดกันโดยทั่วไป Dick Cavill ชาวออสเตรเลีย อีกคนหนึ่งที่ได้ปรับปรุงวิธีการว่ายน้ำแบบ Crawl Stoke และ Wickham จนได้รับผลสำเร็จและได้ครองสถิติโลกในระยะทาง 100 หลาโดยทำเวลา ได้ 55 วินาที หลังจากนั้นการว่ายน้ำแบบ Crawl Stroke ก็ได้รับความนิยมแพร่หลาย ทั่วโลกศตวรรษที่19 ว่ายน้ำได้มีการพัฒนาความก้าวหน้าไปอย่างไม่น่าเชื่อ ในประเทศอังกฤษว่ายน้ำเริ่มมีบทบาท รวมกันเป็นสมาคมว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศอังกฤษ และเริ่มรับสโมสรสมาชิกที่มีสระว่ายน้ำเป็นของตนเองไว้ในโอกาสแรก (ในปี 1844 ประเทศอังกฤษมีเพียง 6 สระ เท่านั้น) ช่วงระยะเวลาเดียวกันชาวยุโรปกลับไปนิยมว่ายน้ำประเภทกบโดยการสังเกตจากการว่ายของกบแล้วนำไปเลียนแบบด้วยการกระเดือกตัวหรือคืบตัวไปทางด้านข้างเพราะไม่ค่อย รู้สึกเหนื่อยแต่ไปได้ช้า และมีความเร็วต่ำมาก ในปี 1902 ริชาร์ด ดาวิลล์ ชาวอังกฤษสามารถว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ 100 หลา ด้วยเวลา 58.6 วินาทีนับเป็นเวลาที่เร็วมาก (100 เมตร ประมาณ 1.45 นาที) ทำให้เขาได้รับฉายาในการว่ายน้ำท่านี้ว่าปรู๊ดปร๊าด เหมือนงูเลื้อย ได้มีคนเลียนแบบการว่ายน้ำท่านี้ ในที่สุดได้เรียกชื่อการว่ายน้ำในท่านี้ว่า ฟรีสไตล์ จนถึงปัจจุบันนี้ ต่อมา ชาร์ล เอม ดาเนียล ได้ประยุกต์การใช้แขนและขาสลับกันกันอัตราส่วน 1 ต่อ 3 และพยายามเปลี่ยนระบบการหายใจออกเป็นจังหวะในขณะใช้แขนจ้วงลงน้ำ และเริ่มหายใจเข้าขณะที่ยกแขนข้างนั้นสูงขึ้น สไตล์การว่ายน้ำแบบนี้ ดาเนียลเรียกชื่อว่า “อเมริกันคลอว์ล” ต่อมาเขาได้ลงแข่งขันว่ายน้ำในกีฬาโอลิมปิก ปี ค.ศ.1910 ได้แชมป์ถึง 3 รายการ และสามารถทำสถิติโลกในระยะทาง 100 หลา ด้วยเวลาเพียง 45.8 วินาที ในปี 1924 ได้มีการแข่งขันกีฬาว่ายน้ำในกีฬาโอลิมปิกที่กรุง ปารีส นักว่ายน้ำชาวอเมริกันชื่อ จอนห์นี ไวสมูลเลอร์ได้ทำสถิติโลกขึ้นใหม่ในระยะทาง 100 เมตร ด้วยเวลา 59.0 วินาที สามารถทำเหรียญทองว่ายน้ำประเภทอื่นๆ อีก 2 เหรียญ ในปี 1964 ดอน ชอลแลนเดอร์ จากสหรัฐอเมริกาได้ลงแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ครั้งที่18 ที่กรุงโตเกียวได้นำวิธีการว่ายของจอนห์นี ไวมูลเลอร์ มาทั้งหมดไม่มีการดัดแปลงและสามารถคว้าเหรียญทองมาถึง 4 เหรียญจากการว่ายน้ำฟรีสไตล์ 100, 200,400 เมตรโดยลบสถิติ ทั้งหมดทุกระยะที่ตนเองลงแข่งขัน

การแข่งขันโอลิมปิกยุคต้นๆ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1900 ประเทศเจ้าภาพเริ่มบรรจุการว่ายน้ำท่ากรรเชียงระยะทาง 100 หลาด้วย โดยแยกเป็นท่าว่ายอีกประเภทหนึ่ง แตกต่างจากการ แข่งขัน ประเภทฟรีสไตล์ และต่อมาก็ได้บรรจุท่าว่ายกบเข้าแข่งขันกีฬาโอลิมปิกด้วยสำหรับการแข่งขันประเภทหญิง ได้เริ่มบรรจุเข้าเริ่มแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1912 เพิ่มประเภท การว่ายน้ำ และระยะทางในแบบต่างๆ เช่นเดียวกับการว่ายของประเภทชาย ปี ค.ศ.1930 ได้บรรจุการแข่งขันว่ายน้ำแบบกบเป็นแบบสากล โดยเป็นการทดลองดูก่อนที่จะแข่งขันโอลิมปิก ปรากฏว่ากบฝรั่งสู้กบญี่ปุ่นไม่ได้ เพราะนักว่ายน้ำญี่ปุ่นเป็นนักดำน้ำสามารถว่ายใต้น้ำได้รวดเร็วมาก และ ดำได้ครั้งหนึ่งเป็นระยะทางไกลมากเกินกว่า 50 หลา ต่อมาได้มีกติกาห้ามดำน้ำขึ้น เพื่อเป็นการ ป้องกันการดำน้ำหรือการว่ายใต้น้ำของญี่ปุ่น แต่โค้ชญี่ปุ่นก็ไม่ย่อท้อ คิดการว่ายน้ำแบบผีเสื้อขึ้นมาใหม่ทดแทนการดำน้ำเพระกติกาการว่ายน้ำแบบกบสมัยนั้นเขียนว่า “ห้ามดำ” เพื่อเป็นการเลี่ยงกฎอย่างดื้อๆ และสามารถลบสถิติไปในที่สุดทำให้อเมริกันเอาอย่างบ้าง โดยการคิดค้นท่าว่ายใหม่ โดยการเตะเท้าคล้ายๆ ปลาโลมาสะบัดหางขึ้นแทนการว่ายน้ำแบบผีเสื้อเตะขากบของชาวญี่ปุ่น และสามารถลบสถิติได้เหมือนกัน



ประวัติว่ายน้ำสากล สหพันธ์กีฬาว่ายน้ำระหว่างประเทศ (FINA)

(Federation International De Natation Amateur)

สหพันธ์กีฬาว่ายน้ำระหว่างประเทศหรือเรียกว่า “สหพันธ์ว่ายน้ำโลก” มีชื่อเรียก ย่อๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า “FINA” ได้กำเนิดขึ้นในปี ค.ค.1908 ประเทศอังกฤษเป็นผู้ริเริ่มและมีบทบาทมากในการก่อตั้งสหพันธ์นี้ขึ้น มีประเทศสมาชิกที่ให้การสนับสนุนหลายประเทศ เช่น กรีซ สหรัฐอเมริกา ฮังการี ฝรั่งเศส เยอรมัน ฮอลแลนด์ เมกซิโก ฯลฯ หลังจากก่อตั้งสหพันธ์ขึ้นแล้ว สมาชิกจากประเทศต่าง ๆ ก็ได้แต่งตั้งนาย จี.ดับบลิว ฮีน (G.W.Hean) ผู้แทนสโมสรว่ายน้ำของอังกฤษ เป็นเลขาธิการและเหรัญญิกของสหพันธ์ ฯ เป็นเวลาถึง 16 ปี โดยไม่มีประธานสหพันธ์จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1924 ที่ประชุมจึงได้เลือก นายอีริก เบิกวอลล์ (Erik Beagvall) ชาวสวีเดน เป็นประธานสหพันธ์คนแรก ประธานได้เลือกเลขาธิการและเหรัญญิกคนเดิมต่อไปอีก 4 ปีจึงได้มีการเลือกตั้งใหม่ในปี ค.ศ. 1928 ซึ่งประเทศฝรั่งเศสได้เป็นประธานสหพันธ์การเลือกตั้งมีทุก ๆ 4 ปี ตำแหน่งประธานสหพันธ์ก็เปลี่ยนไปตามประเทศสมาชิกต่าง ๆ



ประวัติกีฬาว่ายน้ำในประเทศไทย สมาคมว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศไทย


ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกของสหพันธ์ว่ายน้ำระหว่างประเทศในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2501 โดย น.อ.สุรพล แสงโชติ ทูตทหารเรือในฝรั่งเศสได้เป็นผู้ติดต่อไปยัง นาย บี.ซัลล์ฟอร์ส (B.Sallfors) ซึ่งเป็นเลขาธิการประจำอยู่ที่ประเทศสวีเดน และได้รับอนุมัติ ให้เป็นสมาชิกอย่างถูกต้องในเดือนเมษายน 2502 สมาคมว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ได้ริเริ่มก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ.2500 โดย พล ร.ต.สวัสดิ์ ภูติอนันต์ เจ้ากรมสวัสดิการทหารเรือ และได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารตามตำแหน่ง ดังนี้ พลเรือตรี สวัสดิ์ ภูติอนันต์ รน. เป็น นายกสมาคม คณะกรรมการได้เสนอเรื่องขออนุมัติ ก่อตั้งสมาคมไปยังกรมตำรวจและกระทรวงวัฒนธรรมในสมัยนั้น และได้รับอนุมัติให้เป็นสมาคมกีฬาว่ายน้ำสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ในปี พ.
ศ. 2502


ท่าว่ายน้ำ

1. FREESTYLE ฟรีสไตล์
คำว่า "ฟรีสไตล์" เป็นคำที่เรียกกันติดปาก เพราะถ้าจะเรียกให้ถูกต้อง ท่านี้มีชื่อว่า "crawl stroke" (อ่านว่า ครอล สโตรค)
ที่เรียกกันว่า ฟรีสไตล์ก็เพราะคุณสามารถว่ายท่าอะไรก็ได้ที่คิดว่าเร็วที่สุดเพื่อให้ถึงขอบสระก่อนคนอื่น โดยท่าที่นิยมใช้
คือ crawl stroke ทำไมท่านี้จึงมีความเร็วสูงที่สุดน่ะหรือ เป็นเพราะท่านี้เป็นท่าที่ร่างกายมีความเพรียวลู่น้ำมากกว่า
ท่าอื่น ๆ รวมทั้ง การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งท่านก็สามารถจะว่ายได้อย่างง่ายดาย และในกระบวนการสอนว่ายน้ำ
ก็จะสอนท่านี้เป็นท่าแรก

การใช้แขนท่าฟรีสไตล์ (Freestyle Arm Action)

1. การว่ายน้ำทุกท่ายกเว้นท่ากบ จะต้องใช้แขนและมือเป็นตัวขับ เคลื่อนถึง 70 % หรือมากกว่า ดังนั้นแขนจึงเปรียบเสมือนไม้พาย ที่จะช่วยให้ร่างกายไปข้างหน้าได้ และในท่าฟรีสไตล์นั้น มีลักษณะการใช้แขนที่มีความต่อเนื่องกันมากที่สุด โดยการว่ายให้มีความเร็วและถูกต้องนั้น ทำได้ดังนี้1. เมื่อคุณยืดแขนไปด้านหน้าจนสุดแล้ว แขนของคุณต้องชิดกับหู
2. ต่อจากนั้นให้คุณกดมือลง พร้อมกับโก่งแขนโดยการยกข้อศอกโดยแรงที่จะส่งตัวคุณนั้นจะออกมาจากไหล่
3. ดันแขนท่อนล่างให้ผ่านไปใต้ลำตัว นิ้วทุกนิ้วเรียงชิดติดกัน
4. ดันน้ำจนกระทั่งแขนของคุณตึงพอดี สามารถตรวจสอบได้ โดยมือของคุณจะผ่านไปถึงต้นขา
5. ยกแขนขึ้น โดยงอข้อศอก แล้ววาดแขนมาด้านหน้า วางมือลงน้ำ กดศอกแล้วยืดแขนออกไป







ข้อควรจำ


1. คุณต้องดันน้ำไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
2. เมื่อคุณจะวางแขนลงน้ำเพื่อว่ายต่อไป พยายามอย่าให้แขนฟาดน้ำ ให้ลากศอกและมือแทงลงน้ำไปด้านหน้าอย่างนิ่มนวล
3. เมื่อมือคุณลงน้ำแล้ว อย่าให้มือชี้ลงไปที่พื้นสระ จงบังคับมือและแขนให้ชี้ไปยังเป้าหมาย คือ ด้านหน้าของคุณ โดยการ ยืดแขนออกไปขณะที่มือลงน้ำ ไม่ใช่จิ้มมือลงไปในน้ำ


การใช้ขาท่าฟรีสไตล์ (Freestyle Leg Action)

ในการใช้ขาของท่าฟรีสไตล์ จะเตะขาในลักษณะเตะสลับขึ้นลง ซ้ายขวา โดยที่จะต้องส่งแรงเตะมาจากสะโพก ไม่ใช่เตะจากหัวเข่า โดยในการเตะขานั้น ข้อเท้าและหัวเข่าต้องมีความพลิ้วไม่เกร็งเป็นอันขาดจังหวะของการเตะขาท่าฟรีสไตล์

" การเตะขาที่ถูกวิธี จะช่วยทำให้คุณว่ายน้ำได้เร็วและดีขึ้น เพราะมันจะช่วยให้การทรงตัวของร่างกายคุณสมบูรณ์แบบ " 12345678910จังหวะทั้งหมดเป็นไปโดยต่อเนื่องกันไม่ขาดตอน สังเกตดูว่า ในภาพไม่ได้เพียงแต่งอเข่าแล้วเตะลงน้ำเท่านั้น แต่เขายังใช้แรงจากสะโพกเข้ามาช่วยด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือ เวลาคุณเตะขาท่าฟรีสไตล์นั้น คุณต้องขยับทั้งขา ยกตัวอย่าง เช่น ให้สะโพกของคุณเป็นมือ และขาของคุณเป็นเชือก ถ้าคุณสะบัดมือเชือกทั้งเส้นก็จะวิ่งตามกันไปทั้งหมด แต่แรงจริง ๆ ที่จะส่งให้เชือกเกิดการสะบัดก็คือมือของคุณ ดังนั้นแรงจริง ๆ ที่จะใช้ในการเตะขาจะส่งมาจากสะโพก นั่นเอง ในการเตะขาของคุณนั้น คุณต้องเตะอย่างต่อเนื่อง ถ้าว่ายระยะสั้น คุณต้องเตะอย่างแรงและเร็ว ไม่ยกเท้าขึ้นสูงพ้นน้ำจนกระทั่งเห็นน่อง ให้บริเวณข้อเท้าของคุณพ้นน้ำเท่านั้นก็พอแล้ว และเมื่อคุณสะบัดขาลงน้ำ คุณต้องเตะให้เต็มจังหวะ อย่ายึกยัก หรือเกร็งใด ๆ ทั้งสิ้น คิดถึงภาพปลาว่ายน้ำเอาไว้ หางปลาที่ส่าย ๆ น่ะ อย่างนั้นแหละครับ


ความสัมพันธ์ของร่างกายในท่าฟรีสไตล์ (Freestyle Relative Action)

ท่านี้เป็นท่าที่มีความต่อเนื่องในการทำงานของร่างกายอย่างดี คุณสามารถว่ายท่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่คุณต้องพยายามที่รักษาความนิ่มนวลและความพลิ้วไหวในการว่ายด้วย ถ้าคุณสามารถทำตัวให้ลื่นไหลไปเรื่อย ๆ ได้ก็จะดีมาก ไม่เพียงแต่ท่าฟรีสไตล์เท่านั้น ทุก ๆ ท่า ก็ต้องนิ่มนวล และพลิ้วไหวเช่นกัน

TIP OF FREESTYLE

1. คุณต้องไม่เกร็งลำตัวให้แบนราบอยู่กับน้ำตลอด คุณควรปล่อยไหล่และร่างกายให้เป็นธรรมชาติ การกลิ้งลำตัวตามธรรมชาตินั้นจะทำให้ว่ายน้ำได้เร็วยิ่งขึ้น
2. การเอียงหน้าหายใจ ควรทำเมื่อคุณรู้สึกเริ่มที่จะต้องหายใจออกแล้ว ไม่ใช่กลั้นจนกระทั่งไม่ไหวแล้วจึงเอียงหน้าหายใจ การกระทำเช่นนี้จะทำให้คุณเสียจังหวะได้
3. ถ้าคุณไม่เอียงหน้าหายใจ ก็จงรักษาศีรษะให้นิ่ง ๆ เอาไว้ อย่าส่ายหัว เพราะจะทำให้ช้าลง


2. BACKSTROKE ท่ากรรเชียง


หากคุณว่ายท่าฟรีสไตล์ได้ การว่ายท่ากรรเชียงก็ไม่ยากสำหรับคุณ เพราะท่ากรรเชียงก็เหมือนกับท่าฟรีสไตล์กลับด้านกันนั่นเอง ดังนั้นคุณสามารถว่ายกรรเชียงโดยดัดแปลงหลักการของฟรีสไตล์ได้ ถ้าคุณคิดจะว่ายเล่นคำพูดที่บอกว่าหน้าอยู่เหนือน้ำตลอดก็เป็นคำพูดที่ถูก แต่ในการแข่งขันแล้วคุณคิดเช่นนั้นหรือเปล่าเอ่ย? ไม่เลย..เพราะในการว่ายระดับสูงจะมีคลื่นที่เกิดจากการ วางแขนของคุณไปด้านหลังอย่างเร็วและต้องวางให้ชิดกับหูของคุณด้วย ดังนั้นจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าน้ำจะเข้ามาที่หน้าของคุณ การแก้ไขทำอย่างไร คุณสามารถหาดูได้จากหัวข้อด้านล่างนี้

การใช้แขนท่ากรรเชียง (Backstroke Arm Action)








การว่ายท่ากรรเชียง คุณต้องนอนหงายแล้วว่ายในลักษณะเคลื่อนที่ไปด้านหลัง แต่การทำงานของแขน
และมือจะคล้ายกับท่าฟรีสไตล์มาก เรามาดูกันว่า เราต้องทำอย่างไรบ้าง


1. เมื่อคุณยืดแขนออกไปแล้ว แขนคุณต้องชิดหู ไม่ใช่เอาหูไปชิดแขนนะครับ ให้พาแขนมาชิดหู
2. ให้คุณกดแขนลงไปในน้ำ ที่สำคัญปล่อยไหล่ตามสบาย ถ้าคุณเกร็งไหล่ให้อยู่กับที่เอาไว้ คุณจะกดแขนลงน้ำไม่ได้
3. งอข้อศอกและตั้งมือ พร้อมทั้งดันน้ำผ่านไปทางต้นขาของคุณอย่างรวดเร็ว
4. จังหวะสุดท้ายของการดันน้ำ ให้คุณกดมือลงอย่างแรง จนแขนของคุณตึง
5. เมื่อคุณยกแขนขึ้นมาจากน้ำ คุณต้องไม่งอข้อศอก และวางแขนไปด้านหลังโดยไม่ฟาดน้ำ โดยการวางแขนนั้นให้คุณหันฝ่ามือเอานิ้วก้อยลงก่อน
6. เริ่มทำข้อ 1. กับแขนอีกข้าง

ข้อควรจำ


1. ในการวางแขนลงน้ำเพื่อจะดึงน้ำต่อไป คุณต้องให้นิ้วก้อยลงน้ำก่อนเสมอ
2. คุณไม่ต้องกังวลเรื่องที่น้ำจะเข้าหน้าคุณ เพราะว่าถ้าคุณว่ายถูกต้อง น้ำก็เข้าหน้าคุณอยู่แล้ว ให้คุณแก้ไขโดยกำหนดจังหวะหายใจ เช่น ยกแขนขวาขึ้นหายใจเข้า ยกแขนซ้ายหายใจออก เป็นต้น
3. ให้คุณเก็บคางเพียงเล็กน้อย ไม่ใช่ก้มจนหูพ้นน้ำ และไม่เงยจนกระทั่งหน้าจมลงไปในน้ำ
4. ยืดตัวเอาไว้ อย่างอตัวเป็นกุ้งเด็ดขาด

การใช้ขาท่ากรรเชียง (Backstroke Leg Action)


" การเตะขาที่ถูกวิธี จะช่วยทำให้คุณว่ายน้ำได้เร็วและดีขึ้น เพราะมันจะช่วยให้การทรงตัวของร่างกายคุณสมบูรณ์

แบบ " ในการเตะขาท่ากรรเชียงนั้น จะมีน้ำหนักในการเตะขามากกว่าท่าฟรีสไตล์ โดยเป็นการเตะในลักษณะสะบัดน้ำขึ้นไปทำให้ขาต้องทำงานหนักกว่าปกติ แต่การเตะที่ถูกต้องก็จะช่วยเสริมให้การว่ายดีขึ้นและอย่างที่บอกคือจะทำให้การทรงตัวของร่างกายสมบูรณ์แบบ เมื่อดูจากรูปแล้วจะพบว่า ลักษณะการเตะขาจะคล้ายคลึงกับการเตะขาท่าฟรีสไตล์มาก โดยแรงส่งจากสะโพกขึ้นไป และขาต้องพลิ้วเหมือนหางปลา ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ เท้าต้องไม่โผล่พ้นน้ำจนเห็นหน้าแข้งและเท้าต้องไม่มีการตั้งขึ้นมา คือไม่จิ้มและไม่เกร็งข้อเท้า มิฉะนั้นเท้าของคุณจะไม่มีหน้าสัมผัสที่จะเตะน้ำ หัวเข่าก็เช่นกัน ไม่งอค้างเอาไว้เหนือน้ำโดยการเคลื่อนที่ของขาจะต้องไปด้วยกันตั้งแต่สะโพกถึงปลายเท้า ไม่ใช่งอขาเอาไว้แล้วเตะออกจากเข่าอย่างเดียว คุณจะเป็นได้ว่าหลักการของการเตะขาท่ากรรเชียงเหมือนกับการเตะขาท่าฟรีสไตล์เลย แต่เปลี่ยนจากนอนคว่ำเป็นนอนคว่ำเท่านั้นเอง

TIP OF BACKSTROKE


1. มีอยู่ 3 อย่างที่คุณต้องบังคับให้อยู่บนผิวน้ำ แต่ต้องไม่เกร็งนะครับ คือ ใบหน้า หน้าอก และท้อง
2. ลำตัวช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไป พยายามอย่าให้ยกขึ้นมาเกินผิวน้ำ
3. ที่ผมบอกว่าใบหน้าลอยน้ำ ก็ต้องเป็นใบหน้านะครับ ไม่ใช่ศีรษะลอยขึ้นมาเหนือน้ำ สังเกตง่าย ๆ ว่าเวลาคุณว่ายหูของคุณพ้นน้ำขึ้นมาทั้งหูหรือเปล่า ถ้าใช่ก็แสดงว่า คุณยกศีรษะขึ้นมาเหนือน้ำแล้ว
4. เวลาว่ายให้เก็บคางเล็กน้อย ไม่ใช่ก้มมามองเท้า และไม่เงยจนหน้าจมน้ำ
5. แขนห้ามงอเด็ดขาดเมื่อยกขึ้นมาพ้นน้ำ


3. BUTTERFLY ท่าผีเสื้อ


ท่าผีเสื้อ เป็นท่าที่คุณต้องใช้แรงในการว่ายมากที่สุด และในการสอนว่ายน้ำก็จะสอนท่านี้เป็นท่าสุดท้าย ท่านี้มีความเร็วเป็นอันดับสองรองจากฟรีสไตล์ แต่ถ้าคุณว่ายเก่งคุณสามารถว่ายจี้ติดคนที่ว่ายท่าฟรีสไตล์ได้เลยทีเดียว ในการว่ายท่าผีเสื้อนี้คุณจะต้องฝึกฝนเป็นเวลานานกว่าท่าอื่น รวมทั้งคุณต้องมีร่างกายที่แข็งแรงด้วย บางคนคิดว่าการว่ายผีเสื้อต้องเป็นคนที่หัวไหล่แข็งแรงเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วแค่นั้นยังไม่พอ คุณต้องมีกล้ามเนื้อทั้งหัวไหล่ หน้าอก ลำตัว หลัง และขาที่แข็งแรงมาก ถ้าคุณว่ายที่นี้ได้ดี คุณจะว่ายได้อย่างสวยงามไม่น้อยเลย สำหรับผู้ชายที่ว่ายน้ำท่านี้ คุณจะมีรูปร่างที่สวยงามเป็นเหมือนสามเหลี่ยมหัวกลับเลยเชียว แต่ถ้าคุณเป็นผู้หญิง คุณก็อาจจะมีช่วงไหล่ที่กว้างและใหญ่ได้ ในการว่ายท่านี้มีลักษณะเป็นการถ่ายน้ำหนักของร่างกายไปมาจากหน้าไปหลังและหลังไปหน้าไปเรื่อย ๆ ดังนั้นท่านี้ต้องอาศัยเอวและสะโพกมาช่วย


การใช้แขนท่าผีเสื้อ (ฺButterfly Arm Action)
การใช้แขนของท่าผีเสื้อนั้น เป็นดังรูป โดยมีขั้นตอนในการว่ายดังนี้









1. เมื่อแขนคุณอยู่ข้างหน้า ให้กดมือลงพร้อมกับกวาดออกไปด้านข้างเล็กน้อย
2. งอข้อศอกพร้อมทั้งดันมือผ่านใต้ลำตัว
3. ดันน้ำจนแขนผ่านบริเวณต้นขา
4. ยกแขนขึ้นให้ศอกและมือพ้นจากน้ำ
5. วางแขนกลับไปด้านหน้าโดยให้แขนมีความกว้างเท่าช่วงไหล่

ข้อควรจำ


1. ในขณะที่คุณดันน้ำผ่านใต้ลำตัวนั้น คุณต้องพยายามรักษาระดับของข้อศอกให้สูงเสมอ ไม่ให้ข้อศอกตกลงไปต่ำมาก
2. ในขณะยกแขนขึ้นจากน้ำต้องให้ศอกพ้นน้ำด้วย เพราะมันเป็นทั้งหลักการว่ายที่ถูกต้องและเป็นกติกาสากลในการว่ายท่าผีเสื้อ
3. คุณควรพยายามดันน้ำให้มือทั้งสองข้างผ่านใต้ลำตัว เพื่อให้เกิดแรงส่ง ถึงแม้จะเหนื่อยหน่อยแต่คุณจะว่ายได้เร็วกว่าการที่คุณจะดันน้ำเพียงแค่ข้างลำตัวเท่านั้น
4. ในการดันมือผ่านใต้ลำตัวคุณต้องดันน้ำไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นไหล่และแขนของคุณจะยกขึ้นไม่พ้นน้ำ

การใช้ขาท่าผีเสื้อ (ฺButterfly Leg Action)


" การเตะขาเหมือนปลาโลมา ช่วยในการถ่ายน้ำหนักไปมาระหว่างด้านหน้าและหลัง และยังส่งตัวคุณให้พุ่งไปข้างหน้า ด้วย " ในการว่ายท่าผีเสื้อนั้น การเตะขามิใช่จะใช้แต่เพียงขาเท่านั้น ยังต้องใช้ลำตัวและเอวในการที่จะบังคับร่างกายให้เลื้อยไปตามน้ำด้วย เพราะฉะนั้นถ้าคุณเตะขาท่านี้ได้ไม่ดี หรือมีพื้นฐานการเตะขาในท่าก่อน ๆ ไม่ดีพอแล้ว คุณจะจับจุดไม่ถูกว่าจะต้องเตะแบบไหนเพื่อให้ได้แรงและส่งตัวคุณไปข้างหน้าได้ แต่ถ้าคุณเข้าใจการเตะขาของฟรีสไตล์มันก็เป็นหลักการเดียวกัน เพียงแต่ว่า คุณต้องเตะสองขาพร้อม ๆ กันนั่นเอง

การเตะขาท่าผีเสื้อ ก็เหมือนท่าฟรีสไตล์ คือ เตะโดยส่งแรงจากสะโพกลงมาหาปลายเท้า แต่มีเทคนิคอื่น ๆ อีก ดังนี้

1. คุณต้องพยายามรวบให้เท้าอยู่ชิดกันและหัวเข่าไม่กางออก
2. คุณต้องไม่ยกเท้าขึ้นไปสูง จนเห็นน่องของคุณ คุณควรเตะโดยสะบัดเท้าจากระดับน้ำหรือต่ำกว่าเล็กน้อย
3. คุณต้องไม่ให้สะโพกตกลงมากนัก เพราะจะทำให้การว่ายของคุณเสียจังหวะได้
4. การรวบเท้าชิดกันนั้น ต้องไม่เกร็งหรือหนีบเท้าแต่พยายามให้เท้าอยู่ใกล้กันมากที่สุด

TIP OF BUTTERFLYSTROKE


1. คุณต้องรักษาระดับไหล่ มือ ท้ายทอย และสะโพก ให้อยุ่ระดับน้ำเสมอ
2. ในการเงยหน้าขึ้นหายใจ ให้เป็นไปในลักษณะเชิดคางขึ้นมาแล้วเกี่ยวคางไปด้านหน้า ไม่ใช่ยกลำตัวขึ้นมาทั้งตัว
3. คุณต้องทำตัวให้เหมือนกับปลาโลมาว่ายน้ำ หรือทำตัวให้เหมือนลูกคลื่น โดยทุกจังหวะต้องต่อเนื่องไม่ชะงัก และพลิ้วไหว
4. การสะบัดเอวให้ทำตอนที่แขนลงน้ำ ตอนที่คุณดันน้ำนั้นเมื่อเตะขาแล้วไม่ต้องสะบัดเอวแต่ให้ยืดตัวไปข้างหน้าแทน

4. BREASTSTROKE


" คนส่วนใหญ่คิดว่าท่ากบจะสบายที่สุด แต่คุณรู้ไหมว่าท่ากบเป็นท่าที่ต้องใช้เทคนิคและพรสวรรค์สูงที่สุด "
ข้อความด้านบนเป็นจริง เพราะท่ากบเป็นท่าธรรมชาติของมนุษย์คือใช้มือพุ้ยน้ำและใช้เท้าถีบไปเรื่อย ๆ แต่ในการแข่งขันแล้ว ท่ากบใช้เทคนิคสูงเพราะการว่ายไม่เหมือนกับการว่ายเล่นธรรมดา และต้องใช้พรสวรรค์สูงเพราะเป็นท่าที่นักกีฬา ต้องมีกล้ามเนื้อ ที่เรียวยาว ข้อหัวเข่ายืดหยุ่นได้สูง ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จะหาคนที่เหมาะสมกับการว่ายแบบนี้จริง ๆ และที่บอกว่าใช้เทคนิคสูง เนื่องจากอะไรนั้นสามารถดูได้จากเว็บไซต์นี้ แต่รูปที่นำมาแสดงเป็นการว่ายแบบปกติของท่ากบ ในช่วงท้ายจะมีส่วนที่จะบอกให้ คุณได้ทราบว่าเทคนิคดังกล่าวคืออะไร อ้อ! ถ้าคุณว่ายท่าผีเสื้อได้คุณก็คงทราบอยู่แล้วล่ะ

การใช้แขนท่ากบ (ฺBreaststroke Arm Action)

การใช้แขนในท่ากบ มีความสำคัญในการขับเคลื่อนร่างกายไปข้างหน้าน้อยกว่าการใช้ขา เพราะท่ากบใช้พลังขา 70 %เพื่อการขับเคลื่อนร่างกาย แต่การใช้แขนก็ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญเพราะอีก 30 % ก็มีผลต่อการว่ายเช่นกัน เรามาดูกันว่าการใช้แขนของท่ากบนั้นทำอย่างไรบ้าง
1. ให้คุณกดมือพร้อม ๆ กับการกวาดมือไปด้านข้าง โดยการกดมือและแขนลงนั้นให้กดลงประมาณ 45 องศา
2. เมื่อกวาดมือออกมาเลยช่วงไหล่เล็กน้อยให้โก่งแขนโดยงอข้อศอกและยกข้อศอกให้สูงเอาไว้พร้อมกับล็อคข้อศอกให้อยู่กับที่คือไม่ลากศอกออกไปด้านหลัง
3. ตวัดมือทั้งสองข้างให้มาด้านหน้าในลักษณะกระพุ่มมือ (การตวัดให้มาทั้งแขนท่อนล่างไม่ใช่ตวัดแค่ข้อมือ) พร้อมทั้งให้หนีบศอกทั้งสองข้างมาชิดตัวอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งยืดแขนออกไปด้านหน้าอย่างเร็วด้วย
4. ก้มหัว ส่งแรงจากไหล่ตามแขนไปด้วย

ข้อควรจำ


1. คุณต้องยกศอกให้สูงเสมอในขณะที่ดันน้ำ
2. คุณต้องไม่ลากแขนออกไปด้านข้างมากนัก และไม่ลากแขนจนมือเลยไปด้านหลัง
3. อย่าให้มือไปอยู่ใต้หน้าอกหรือใต้ลำตัว เมื่อศอกชิดตัวแล้วมือต้องอยู่ด้านหน้าของหน้าอก
4. คุณต้องหนีบข้อศอกมาให้รวดเร็วที่สุด เพื่อเป็นการแหวกขึ้นมาหายใจอย่างรวดเร็ว มิใช่ค่อย ๆ เงยขึ้นมาแล้วลำตัวไปต้านน้ำ ทำให้เคลื่อนที่ได้ช้าลง

การใช้ขาท่ากบ (Breaststroke Leg Action)

" ท่านี้พลังขับเคลื่อนส่วนใหญ่มาจากขา ดังนั้นถ้าคุณใช้ขาได้ถูกต้อง คุณจะสามารถพุ่งไปได้ดีและเร็วกว่าคนอื่น " อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า การว่ายท่ากบ เป็นท่าที่ต้องใช้พรสวรรค์และเทคนิคสูงที่สุด แต่คุณก็สามารถฝึกฝนได้ ดังนั้น เรามาดูกันดีกว่าว่า จะต้องใช้ขาอย่างไรจึงจะทำให้คุณมีพลังขับเคลื่อนที่ดีในการว่ายท่ากบนี้ ภาพที่เห็นเป็นภาพจากด้านหลังนะครับ

ขั้นตอนในการใช้ขาของท่ากบ มีดังนี้

1. ให้รวบขาชิดกันเท้าชิดกันเอาไว้ ยืดขาให้ยาว
2. งอเข่า ดึงส้นเท้ามาหาสะโพก ข้อสำคัญคุณต้องไม่ชักเข่าเข้าใต้ลำตัวของคุณ โดยการงอเข่านั้นคุณต้องแยกขาเล็กน้อยแต่คุณต้องบังคับให้เข่าและเท้ายังอยู่ในช่วงกว้างของสะโพก
3 - 4. เมื่อเท้าชิดสะโพกแล้วให้หมุนเท้าโดยให้นิ้วเท้าชี้ไปด้านข้าง ฝ่าเท้าอยู่ในท่าที่เตรียมจะถีบน้ำ
5 - 6. ถีบน้ำไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
7 - 10. หลังจากนั้นให้คุณรวบขาและเท้าทั้งสองข้างให้ชิดกันอย่างรวดเร็ว เตรียมพร้อมที่จะถีบใหม่อีกครั้ง

ข้อควรจำ

1. คุณต้องไม่มีอาการเกร็งข้อเท้าเลย ในขณะที่ถีบน้ำ
2. ในการรวบเท้า คุณต้องตบฝ่าเท้าของคุณเข้าหากันอย่างรวดเร็วที่สุด
3. เวลาถีบขาอย่ากระชากหัวเข่า เพราะจะทำให้คุณรวบขาได้ช้า และอาจบาดเจ็บได้

ความสัมพันธ์ของร่างกายในท่ากบ (Breaststroke Relative Action)

ในการว่ายท่ากบนั้น จังหวะเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะท่ากบต้องอาศัยความสัมพันธ์ของแขนกับขาเพื่อให้เกิดความลู่น้ำและความเร็วมากที่สุด ถ้าคุณว่ายผิดจังหวะแล้ว คุณจะไปได้ช้าและเหนื่อยกว่าปกติ ดังนั้น การว่ายท่ากบจึงต้องอาศัยการฝึกฝนและเทคนิคสักหน่อย แต่คุณก็ทำได้โดยอย่างนี้ครับ

ขั้นตอนต่าง ๆ ในการว่ายท่ากบ มีดังนี้

1. ให้คุณยืดแขนและขาเอาไว้ วางลำตัวเหมือนกับท่าฟรีสไตล์
2 - 3. ให้กวาดมือออกด้านข้างเล็กน้อย
4 - 6. เมื่อกวาดมือแล้ว ให้กดมือลง พร้อมกับรวบแขนไปด้านหลังเล็กน้อย
7 - 8. ให้รวบแขนและศอกมาชิดข้างลำตัว ให้ตวัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว และให้มืออยู่บริเวณหน้าอก
9 - 10. เมื่อยืดแขนออกไป ให้งอเข่าตามมา และเมื่อแขนยืดเสร็จแล้ว ขาจะต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมจะถีบน้ำ เมื่อถีบน้ำและรวบขาชิดกันแล้วก็จะกลับเข้าสู่กระบวนการในภาพที่ 1 ใหม่ โดยให้คุณยืดตัวไว้ประมาณ 1 - 2 วินาทีก่อน แล้วค่อยเริ่มต้นใหม่

TIP OF BREASTSTROKE

ตามที่ตอนต้นบอกไว้ว่า มีเทคนิคพิเศษโดยสำหรับผู้ที่ว่ายผีเสื้อได้แล้วก็จะทราบ นั่นก็คือ การใส่เอวผีเสื้อเข้าไปในท่ากบด้วย โดยเมื่อคุณถีบขาให้ยืดแขนออกไป แล้วใช้สะโพกดันตัวไปข้างหน้าด้วย และคุณจะต้องก้มศีรษะตอนที่ยืดแขนออก ต่อมาให้เชิดคางขึ้นในจังหวะที่ใช้แขน จังหวะต่อจากรูปที่ 10 คือจังหวะที่คุณสามารถใส่เอวผีเสื้อเข้าไปได้ แต่ต้องระวังส่วนหนึ่ง คือ ศีรษะของคุณอาจจะต่ำเกินไป ทำให้ลงน้ำลึก ก็ควรจะแก้ไขโดยการยืดตัวและใส่เอวผีเสื้อ บริเวณผิวน้ำให้ได้

การเตะขาโดยใช้ kickboard ถือว่าเป็นท่าพื้นฐานที่สุด นักกีฬาส่วนมากมักจับที่ปลาย kickboard ด้านบน โดยยกศีรษะมองไปด้านหน้า โฟมช่วยพยุงส่วนบนของร่างกายไว้ บางคนต้องการให้ลำตัวส่วนบนลอยมากขึ้น ใช้ kickboard เพิ่มขึ้นมาอีก 1 อัน
ท่าว่ายน้ำที่ถูกต้อง ตำแหน่งศีรษะควรอยู่ในแนวเดียวกับกระดูกสันหลัง เกาะโฟมเตะขาตามองไปด้านหน้า จัดเป็นท่าที่ต่างจากท่าว่ายน้ำที่ถูกต้อง นักกีฬาควรจับ kickboard ตรงกลางของทั้งสองข้าง ก้มหน้าลง ตามองที่พื้น เมื่อต้องการหายใจให้เงยหน้าขึ้น
การจับ kickboard เตะขาใช้ได้ 3 ท่าคือ ผีเสื้อ กบ และฟรีสไตล์ กบเป็นท่าเดียวที่นักกีฬาควรขึ้นมาหายใจทุกจังหวะ จังหวะหายใจเป็นจังหวะพร้อมกับการลากส้นเท้าเข้าหาก้นก่อนถีบ จังหวะถีบขาให้ก้มหน้าลง ตามองพื้น
ระหว่างจับโฟมเตะขาท่าผีเสื้อและฟรีสไตล์ นักกีฬาสามารถฝึกกลั้นหายใจไปพร้อมกัน โดยการเตะขา ก้มหน้าลงใต้น้ำ และพยายามหายใจให้น้อยที่สุด จากขอบสระถึงขอบสระอีกฝั่ง การเตะขาท่าผีเสื้อ นักกีฬาควรสลับระหว่างฝึกกลั้นหายใจกับหายใจทุก 1 หรือ 2 จังหวะ เพราะนักกีฬาส่วนมากเวลาว่ายท่าผีเสื้อจะหายใจทุก 1 หรือ 2 จังหวะ จึงควรฝึกให้เหมือนกับเวลาว่าย
กรรเชียงเป็นท่าเดียวที่นักกีฬาไม่ควรใช้โฟมเวลาฝึกเตะขา การหนุนศีรษะลงไปบนโฟม แขน ลอดใต้โฟม มือจับที่ปลายส่วนบน ดูเหมือนกับท่านอนเล่นแช่น้ำมากกว่าฝึกเตะขา ควรใช้วิธีแขนเหยียดตรงชิดหูจะดีกว่า นักกีฬาสามารถเตะขาได้โดยลำตัวอยู่ในแนวนอนคล้ายกับท่าว่ายกรรเชียงมากที่สุด และนักกีฬายังจะได้ฝึกเตะขาใต้น้ำอีกด้วย เพราะถ้าจับโฟมนักกีฬาไม่สามารถดำลงใต้น้ำ
ผีเสื้อและกรรเชียงเป็นท่าว่ายน้ำที่นักกีฬาควรให้ความสนใจกับการฝึกเตะขาใต้น้ำเป็นพิเศษ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น